อาการไอของน้องหมาน้องแมว อาจไม่ใช่แค่หวัดธรรมดา

สัตว์เลี้ยง | 21 พฤษภาคม 2568
dog coughing violently

คุณเคยสังเกตไหมว่าน้องหมาหรือน้องแมวที่บ้านมีอาการไอบ่อยๆ? หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงอาการหวัดธรรมดาที่จะหายไปเอง แต่ความจริงแล้ว อาการไอในสัตว์เลี้ยงอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงที่คุณรักได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับอาการไอในสัตว์เลี้ยง ว่าเมื่อไหร่ที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และทำไมการพาน้องไปพบสัตวแพทย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง

“ไอ” แบบไหน? รู้จักลักษณะอาการไอในสัตว์เลี้ยงเบื้องต้น

อาการไอเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันและขับสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่จะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น สิ่งแปลกปลอม ฝุ่นละออง ควัน สารเคมี สิ่งคัดหลั่ง หรือการอักเสบ เข้าไปในระบบทางเดินหายใจ จะเกิดการกระตุ้นตัวรับที่ทำให้เกิดอาการไอ

อาการไอในสัตว์เลี้ยงที่พบนานๆ ครั้ง เช่น สัปดาห์ละครั้ง ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากอาการไอเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ทุกวันหรือตลอดทั้งวัน จนรบกวนการใช้ชีวิตปกติ ควรต้องหาสาเหตุเพื่อการวินิจฉัยโรคต่อไป

ลักษณะอาการไอที่พบได้บ่อย

  1. ไอแห้ง – สัตว์เลี้ยงจะไอแห้งๆ เหมือนพยายามขับอะไรบางอย่างออกมาจากลำคอหรือปาก มีเสียงแหบแห้ง มักเป็นอาการของโรคหลอดลมอักเสบติดต่อของสุนัข หรืออาการติดเชื้อระบบหายใจส่วนบน
  2. ไอเสียงเหมือนห่าน – เสียงไอแห้งๆ แต่ต่ำเหมือนเสียงห่าน อาจเป็นอาการของโรคหลอดลมอักเสบติดต่อของสุนัข หรือโรคหลอดลมตีบ
  3. ไอแบบมีเสมหะ – มักเกิดจากโรคหวัดในสุนัข หรือปอดบวม หากสัตว์เลี้ยงมีเสียงเหมือนพยายามกลั้วคอ หรือขากเสมหะ นี่เป็นสัญญาณว่ามีความผิดปกติในทางเดินหายใจส่วนล่าง
  4. ไอเสียงแหลม – หากสัตว์เลี้ยงไอแบบเสียงแหลม เหมือนกับกำลังมีอะไรติดคอ อาจเป็นอาการเจ็บคอ อาการระคายเคืองทางเดินหายใจส่วนบน หรือเกิดจากมีอะไรขวางทางเดินหายใจ
  5. ไอเฉพาะตอนกลางคืน – หากสัตว์เลี้ยงไอเฉพาะตอนกลางคืนในขณะนอนหลับ นั่นอาจหมายถึงโรคร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้น

เมื่อ “อาการไอ” ฟ้องว่า “หัวใจ” อาจมีปัญหา

อาการไอในสัตว์เลี้ยงที่เกิดจากโรคหัวใจ ส่วนใหญ่มักพบในสัตว์เลี้ยงที่มีภาวะหัวใจโตและมีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย ในสุนัขพันธุ์เล็กช่วงกลางวัยถึงสูงวัย มักพบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจไมทรัลเสื่อม ส่วนในสุนัขพันธุ์ใหญ่ มักพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง

กลไกที่ทำให้เกิดอาการไอจากโรคหัวใจ

เมื่อหัวใจสุนัขมีขนาดโตขึ้น จะไปกดทับหลอดลมบริเวณขั้วปอด ซึ่งไปกระตุ้นตัวรับทำให้เกิดอาการไอได้ หากสุนัขมีภาวะหัวใจล้มเหลว กล่าวคือมีน้ำท่วมปอด จะมีการคั่งของหลอดเลือดดำที่ปอด และกระตุ้นตัวรับในปอด ทำให้เกิดหลอดลมฝอยหดตัวและเพิ่มสิ่งคัดหลั่งในระบบหายใจ ผลทำให้เกิดการกระตุ้นอาการไอ

ลักษณะอาการไอที่บ่งชี้โรคหัวใจ

  • ไอแห้ง – มักเป็นอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ
  • ไอในเวลากลางคืนหรือหลังตื่นนอน – อาการไอมักจะแสดงให้เห็นในเวลากลางคืนหรือหลังจากตื่นนอน
  • อาการร่วมอื่นๆ – สุนัขเหนื่อยง่าย หายใจเร็ว เยื่อเมือกซีด ในสุนัขบางตัวหากมีอาการไอมากติดต่อกัน อาจเกิดอาการเป็นลมได้
Dog Cough

“อาการไอ” กับสัญญาณเตือนจาก “ปอด”

นอกจากโรคหัวใจแล้ว อาการไอในสัตว์เลี้ยงยังอาจเกิดจากปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจโดยตรง ซึ่งมีหลายสาเหตุ ดังนี้

โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง

เป็นสาเหตุหลักของอาการไอเรื้อรังในสุนัข โดยสุนัขจะมีอาการไอต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 2 เดือน โรคนี้พบได้มากในสุนัขกลางวัยถึงแก่ และในสุนัขพันธุ์เล็ก พบได้น้อยในสุนัขพันธุ์ใหญ่

สุนัขที่เป็นโรคนี้มักไม่แสดงอาการป่วยทางร่างกายอื่น มีเพียงอาการไอต่อเนื่อง อาจพบการเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจจากอิทธิพลของการหายใจ เมื่อคลำบริเวณลำคอสุนัขมักแสดงอาการไอ

โรคหลอดลมตีบ

หลอดลมตีบเป็นอาการเรื้อรัง รุนแรงที่ทำให้หลอดลมของสุนัขนุ่มและแบนลง ทำให้ขวางทางเดินหายใจของสุนัขจนเกิดอาการไอ อาการนี้พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็กหรือพันธุ์ตุ๊กตา

สุนัขจะแสดงอาการไอแห้ง เสียงดัง คล้ายเสียงร้องของห่าน อาการไอเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน สุนัขบางตัวอาจแสดงอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน จากปัจจัยโน้มนำ เช่น ความร้อน การตื่นเต้น ความเครียด

โรคหอบหืดในแมว

เป็นโรคการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจส่วนล่างในแมว มีรายงานพบอัตราการการเกิดโรคประมาณร้อยละ 1-5 ของประชากรแมวทั้งหมด พบได้ตั้งแต่แมวอายุน้อยจนถึงแมววัยกลาง

โรคพยาธิหนอนหัวใจ

เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สัตว์เลี้ยงไอเรื้อรังได้ จากการที่พยาธิหนอนหัวใจกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบที่ปอด อาการของสัตว์เลี้ยงที่มีการติดเชื้อโรคพยาธิหนอนหัวใจอาจจะมีความคล้ายกับโรคหอบหืดคือ มีอาการไอ ไอเรื้อรัง หอบ หายใจลำบาก

อย่าปล่อยให้สงสัยนาน! การสังเกตและการจดบันทึกข้อมูลสำคัญอย่างไร?

เมื่อสังเกตเห็นว่าสัตว์เลี้ยงมีอาการไอ เจ้าของควรสังเกตและจดบันทึกข้อมูลต่อไปนี้เพื่อแจ้งสัตวแพทย์:

  1. ลักษณะของการไอ – ไอแห้ง หรือไอแบบพยายามคายเสมหะ
  2. ความถี่ของการไอ – ไอบ่อยแค่ไหน และเกิดขึ้นเมื่อใด (กลางวัน กลางคืน หลังออกกำลังกาย)
  3. ปัจจัยกระตุ้น – มีสิ่งใดที่ทำให้อาการไอเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่น การออกกำลังกาย ความตื่นเต้น
  4. อาการร่วมอื่นๆ – เช่น หายใจผิดปกติ หอบ ใช้ช่องท้องหายใจร่วมด้วย หายใจกระแทก รวมถึงสีเหงือกม่วงคล้ำขึ้น

การถ่ายคลิปวิดีโออาการไอของสัตว์เลี้ยงไว้ จะช่วยให้สัตวแพทย์สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำยิ่งขึ้น

ทำไมต้องพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์? และคาดหวังอะไรได้บ้าง?

อาการไอในสัตว์เลี้ยงเป็นเพียงอาการแสดงของโรคหรือความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การวินิจฉัยด้วยตนเองอาจทำให้สัตว์เลี้ยงไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที

เมื่อพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ คุณสามารถคาดหวังกระบวนการวินิจฉัยดังนี้:

  1. การซักประวัติ – สัตวแพทย์จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการไอ ประวัติสุขภาพ และการดูแลสัตว์เลี้ยง
  2. การตรวจร่างกาย – สัตวแพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการฟังเสียงปอดและหัวใจ
  3. การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม – อาจมีการตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น เช่น:
    • การเอกซเรย์ช่องอก
    • การตรวจเลือด
    • การทำเอ็คโค่หัวใจ (อัลตราซาวด์หัวใจ)
    • การส่องกล้องตรวจทางเดินหายใจ

แนวทางการรักษา

การรักษาอาการไอในสัตว์เลี้ยงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริงของอาการ ซึ่งสัตวแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยทั่วไปอาจประกอบด้วย:

กรณีโรคหัวใจ

  • การให้ยารักษาโรคหัวใจตามชนิดของโรค
  • การให้ยาขับน้ำ หากมีภาวะน้ำท่วมปอด
  • การปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกาย

กรณีโรคระบบทางเดินหายใจ

  • การให้ยาขยายหลอดลม
  • การให้ยาลดการอักเสบ
  • การให้ยาปฏิชีวนะ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • การให้ออกซิเจน ในกรณีที่มีอาการหายใจลำบากรุนแรง

กรณีโรคพยาธิหนอนหัวใจ

  • การรักษาด้วยยากำจัดพยาธิหนอนหัวใจ
  • การให้ยาลดการอักเสบที่ปอด
  • การป้องกันด้วยการให้ยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจเป็นประจำ
cat cough

อาการไอในสุนัขและแมวไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจหรือโรคปอด การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและการพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ จะช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

หากน้องหมาน้องแมวที่บ้านมีอาการไอน่าสงสัย อย่าลังเลที่จะพาไปปรึกษาสัตวแพทย์นะครับ เพราะการตรวจพบปัญหาได้เร็ว ย่อมเพิ่มโอกาสในการรักษาและทำให้น้องๆ กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ เจ้าของท่านใดมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการไอในสัตว์เลี้ยง หรือมีคำถามที่อยากแลกเปลี่ยน (ที่ไม่ใช่การขอคำวินิจฉัยทางการแพทย์) สามารถแบ่งปันกันได้ในคอมเมนต์เลยครับ

หมายเหตุ: บทความนี้ให้ข้อมูลเพื่อความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยหรือคำแนะนำจากสัตวแพทย์ได้ หากสัตว์เลี้ยงของคุณมีอาการผิดปกติ โปรดปรึกษาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด