คุณเคยสังเกตไหมว่าน้องหมาหรือน้องแมวที่บ้านมีอาการไอบ่อยๆ? หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงอาการหวัดธรรมดาที่จะหายไปเอง แต่ความจริงแล้ว อาการไอในสัตว์เลี้ยงอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงกว่านั้น โดยเฉพาะโรคเกี่ยวกับหัวใจหรือปอด ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของสัตว์เลี้ยงที่คุณรักได้ บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับอาการไอในสัตว์เลี้ยง ว่าเมื่อไหร่ที่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ และทำไมการพาน้องไปพบสัตวแพทย์จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
“ไอ” แบบไหน? รู้จักลักษณะอาการไอในสัตว์เลี้ยงเบื้องต้น
อาการไอเป็นการตอบสนองตามธรรมชาติของร่างกายสัตว์เลี้ยง เพื่อป้องกันและขับสิ่งแปลกปลอมต่างๆ ที่จะเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น สิ่งแปลกปลอม ฝุ่นละออง ควัน สารเคมี สิ่งคัดหลั่ง หรือการอักเสบ เข้าไปในระบบทางเดินหายใจ จะเกิดการกระตุ้นตัวรับที่ทำให้เกิดอาการไอ
อาการไอในสัตว์เลี้ยงที่พบนานๆ ครั้ง เช่น สัปดาห์ละครั้ง ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากอาการไอเกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น ทุกวันหรือตลอดทั้งวัน จนรบกวนการใช้ชีวิตปกติ ควรต้องหาสาเหตุเพื่อการวินิจฉัยโรคต่อไป
ลักษณะอาการไอที่พบได้บ่อย
- ไอแห้ง – สัตว์เลี้ยงจะไอแห้งๆ เหมือนพยายามขับอะไรบางอย่างออกมาจากลำคอหรือปาก มีเสียงแหบแห้ง มักเป็นอาการของโรคหลอดลมอักเสบติดต่อของสุนัข หรืออาการติดเชื้อระบบหายใจส่วนบน
- ไอเสียงเหมือนห่าน – เสียงไอแห้งๆ แต่ต่ำเหมือนเสียงห่าน อาจเป็นอาการของโรคหลอดลมอักเสบติดต่อของสุนัข หรือโรคหลอดลมตีบ
- ไอแบบมีเสมหะ – มักเกิดจากโรคหวัดในสุนัข หรือปอดบวม หากสัตว์เลี้ยงมีเสียงเหมือนพยายามกลั้วคอ หรือขากเสมหะ นี่เป็นสัญญาณว่ามีความผิดปกติในทางเดินหายใจส่วนล่าง
- ไอเสียงแหลม – หากสัตว์เลี้ยงไอแบบเสียงแหลม เหมือนกับกำลังมีอะไรติดคอ อาจเป็นอาการเจ็บคอ อาการระคายเคืองทางเดินหายใจส่วนบน หรือเกิดจากมีอะไรขวางทางเดินหายใจ
- ไอเฉพาะตอนกลางคืน – หากสัตว์เลี้ยงไอเฉพาะตอนกลางคืนในขณะนอนหลับ นั่นอาจหมายถึงโรคร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้น
เมื่อ “อาการไอ” ฟ้องว่า “หัวใจ” อาจมีปัญหา
อาการไอในสัตว์เลี้ยงที่เกิดจากโรคหัวใจ ส่วนใหญ่มักพบในสัตว์เลี้ยงที่มีภาวะหัวใจโตและมีภาวะหัวใจล้มเหลวร่วมด้วย ในสุนัขพันธุ์เล็กช่วงกลางวัยถึงสูงวัย มักพบว่าเป็นโรคลิ้นหัวใจไมทรัลเสื่อม ส่วนในสุนัขพันธุ์ใหญ่ มักพบว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง
กลไกที่ทำให้เกิดอาการไอจากโรคหัวใจ
เมื่อหัวใจสุนัขมีขนาดโตขึ้น จะไปกดทับหลอดลมบริเวณขั้วปอด ซึ่งไปกระตุ้นตัวรับทำให้เกิดอาการไอได้ หากสุนัขมีภาวะหัวใจล้มเหลว กล่าวคือมีน้ำท่วมปอด จะมีการคั่งของหลอดเลือดดำที่ปอด และกระตุ้นตัวรับในปอด ทำให้เกิดหลอดลมฝอยหดตัวและเพิ่มสิ่งคัดหลั่งในระบบหายใจ ผลทำให้เกิดการกระตุ้นอาการไอ
ลักษณะอาการไอที่บ่งชี้โรคหัวใจ
- ไอแห้ง – มักเป็นอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ
- ไอในเวลากลางคืนหรือหลังตื่นนอน – อาการไอมักจะแสดงให้เห็นในเวลากลางคืนหรือหลังจากตื่นนอน
- อาการร่วมอื่นๆ – สุนัขเหนื่อยง่าย หายใจเร็ว เยื่อเมือกซีด ในสุนัขบางตัวหากมีอาการไอมากติดต่อกัน อาจเกิดอาการเป็นลมได้

“อาการไอ” กับสัญญาณเตือนจาก “ปอด”
นอกจากโรคหัวใจแล้ว อาการไอในสัตว์เลี้ยงยังอาจเกิดจากปัญหาที่ระบบทางเดินหายใจโดยตรง ซึ่งมีหลายสาเหตุ ดังนี้
โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
เป็นสาเหตุหลักของอาการไอเรื้อรังในสุนัข โดยสุนัขจะมีอาการไอต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 2 เดือน โรคนี้พบได้มากในสุนัขกลางวัยถึงแก่ และในสุนัขพันธุ์เล็ก พบได้น้อยในสุนัขพันธุ์ใหญ่
สุนัขที่เป็นโรคนี้มักไม่แสดงอาการป่วยทางร่างกายอื่น มีเพียงอาการไอต่อเนื่อง อาจพบการเต้นไม่เป็นจังหวะของหัวใจจากอิทธิพลของการหายใจ เมื่อคลำบริเวณลำคอสุนัขมักแสดงอาการไอ
โรคหลอดลมตีบ
หลอดลมตีบเป็นอาการเรื้อรัง รุนแรงที่ทำให้หลอดลมของสุนัขนุ่มและแบนลง ทำให้ขวางทางเดินหายใจของสุนัขจนเกิดอาการไอ อาการนี้พบได้บ่อยในสุนัขพันธุ์เล็กหรือพันธุ์ตุ๊กตา
สุนัขจะแสดงอาการไอแห้ง เสียงดัง คล้ายเสียงร้องของห่าน อาการไอเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน สุนัขบางตัวอาจแสดงอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน จากปัจจัยโน้มนำ เช่น ความร้อน การตื่นเต้น ความเครียด
โรคหอบหืดในแมว
เป็นโรคการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินหายใจส่วนล่างในแมว มีรายงานพบอัตราการการเกิดโรคประมาณร้อยละ 1-5 ของประชากรแมวทั้งหมด พบได้ตั้งแต่แมวอายุน้อยจนถึงแมววัยกลาง
โรคพยาธิหนอนหัวใจ
เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้สัตว์เลี้ยงไอเรื้อรังได้ จากการที่พยาธิหนอนหัวใจกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบที่ปอด อาการของสัตว์เลี้ยงที่มีการติดเชื้อโรคพยาธิหนอนหัวใจอาจจะมีความคล้ายกับโรคหอบหืดคือ มีอาการไอ ไอเรื้อรัง หอบ หายใจลำบาก
อย่าปล่อยให้สงสัยนาน! การสังเกตและการจดบันทึกข้อมูลสำคัญอย่างไร?
เมื่อสังเกตเห็นว่าสัตว์เลี้ยงมีอาการไอ เจ้าของควรสังเกตและจดบันทึกข้อมูลต่อไปนี้เพื่อแจ้งสัตวแพทย์:
- ลักษณะของการไอ – ไอแห้ง หรือไอแบบพยายามคายเสมหะ
- ความถี่ของการไอ – ไอบ่อยแค่ไหน และเกิดขึ้นเมื่อใด (กลางวัน กลางคืน หลังออกกำลังกาย)
- ปัจจัยกระตุ้น – มีสิ่งใดที่ทำให้อาการไอเพิ่มขึ้นหรือไม่ เช่น การออกกำลังกาย ความตื่นเต้น
- อาการร่วมอื่นๆ – เช่น หายใจผิดปกติ หอบ ใช้ช่องท้องหายใจร่วมด้วย หายใจกระแทก รวมถึงสีเหงือกม่วงคล้ำขึ้น
การถ่ายคลิปวิดีโออาการไอของสัตว์เลี้ยงไว้ จะช่วยให้สัตวแพทย์สามารถวินิจฉัยได้แม่นยำยิ่งขึ้น
ทำไมต้องพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์? และคาดหวังอะไรได้บ้าง?
อาการไอในสัตว์เลี้ยงเป็นเพียงอาการแสดงของโรคหรือความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การวินิจฉัยด้วยตนเองอาจทำให้สัตว์เลี้ยงไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและทันท่วงที
เมื่อพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ คุณสามารถคาดหวังกระบวนการวินิจฉัยดังนี้:
- การซักประวัติ – สัตวแพทย์จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอาการไอ ประวัติสุขภาพ และการดูแลสัตว์เลี้ยง
- การตรวจร่างกาย – สัตวแพทย์จะตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงการฟังเสียงปอดและหัวใจ
- การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม – อาจมีการตรวจเพิ่มเติมตามความจำเป็น เช่น:
- การเอกซเรย์ช่องอก
- การตรวจเลือด
- การทำเอ็คโค่หัวใจ (อัลตราซาวด์หัวใจ)
- การส่องกล้องตรวจทางเดินหายใจ
แนวทางการรักษา
การรักษาอาการไอในสัตว์เลี้ยงขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริงของอาการ ซึ่งสัตวแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม โดยทั่วไปอาจประกอบด้วย:
กรณีโรคหัวใจ
- การให้ยารักษาโรคหัวใจตามชนิดของโรค
- การให้ยาขับน้ำ หากมีภาวะน้ำท่วมปอด
- การปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกาย
กรณีโรคระบบทางเดินหายใจ
- การให้ยาขยายหลอดลม
- การให้ยาลดการอักเสบ
- การให้ยาปฏิชีวนะ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย
- การให้ออกซิเจน ในกรณีที่มีอาการหายใจลำบากรุนแรง
กรณีโรคพยาธิหนอนหัวใจ
- การรักษาด้วยยากำจัดพยาธิหนอนหัวใจ
- การให้ยาลดการอักเสบที่ปอด
- การป้องกันด้วยการให้ยาป้องกันพยาธิหนอนหัวใจเป็นประจำ

อาการไอในสุนัขและแมวไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจหรือโรคปอด การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดและการพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์เมื่อพบความผิดปกติ จะช่วยให้สัตว์เลี้ยงได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที
หากน้องหมาน้องแมวที่บ้านมีอาการไอน่าสงสัย อย่าลังเลที่จะพาไปปรึกษาสัตวแพทย์นะครับ เพราะการตรวจพบปัญหาได้เร็ว ย่อมเพิ่มโอกาสในการรักษาและทำให้น้องๆ กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ เจ้าของท่านใดมีประสบการณ์เกี่ยวกับอาการไอในสัตว์เลี้ยง หรือมีคำถามที่อยากแลกเปลี่ยน (ที่ไม่ใช่การขอคำวินิจฉัยทางการแพทย์) สามารถแบ่งปันกันได้ในคอมเมนต์เลยครับ
หมายเหตุ: บทความนี้ให้ข้อมูลเพื่อความรู้เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการวินิจฉัยหรือคำแนะนำจากสัตวแพทย์ได้ หากสัตว์เลี้ยงของคุณมีอาการผิดปกติ โปรดปรึกษาสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด